แกรนด์แคนยอนคีรี ตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองชลบุรี แถวแยกคีรี ไม่ไกลจากหาดบางแสน เป็นเหมืองหินเก่าที่ปัจจุบันปิดทำการไปแล้ว แต่ด้วยวิวที่สวยงาม มีบ่อน้ำสีเขียวขนาดใหญ่รายล้อมด้วยหินและดินที่รวมตัวกันคล้ายภูเขาเล็กๆ มีลวดลายแปลกตา ทั้งในส่วนขอวิวที่คล้ายแกรนด์แคนยอน และกองหินดินสีขาวเทาคล้ายภูเขาหิมะ ทำให้มีการพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว และจุดถ่ายภาพสุดคูลของชลบุรี
ภายในแกรนด์แคนยอนคีรี เมื่อมาถึงทางเข้าจะเจอจุดแรก ซึ่งมีร้านอาหารและขายเครื่องดื่มเป็นซุ้มเล็กๆ ให้บริการ มีมุมเก้าอี้นั่งพักผ่อน เมื่อเดินเข้าไปอีกนิด ก็จะเป็นจุดชมวิวเหมืองหิน ที่มองเห็นบ่อน้ำสีเขียวขนาดใหญ่ตัดกับเหมืองหินสีเทาขาวและยังมีต้นไม้น้อยใหญ่แซมขึ้นมาตามหินผาอยู่เป็นจุดๆ เพิ่มความสวยงามและความอัศจรรย์ยิ่งๆขึ้นไปอีก ที่นี่ไม่เสียค่าบริการเข้าชม แต่จะเสียค่าจอดรถยนต์คันละ 20 บาท
จากแกรนด์แคนยอน มองไปด้ายซ้ายมือ จะเห็นภูเขาสีเทาอยู่ลิบๆ นั่นคือ อีกหนึ่งจุดไฮไลต์ ภูเขาหิมะ เดินต่อไปอีกประมาณ 800 เมตร เลียบทางเดินของบ่อแกรนด์เคนยอน ระหว่างทางก็จะเจอกับทุ่งหญ้าสีเขียว และวิวของบ่อน้ำ พื้นที่บริเวณนี้ลมค่อนข้างแรง เดินด้วยความระมัดระวังกันหน่อย
ผ่านพ้นทุ่งหญ้า จะเป็นที่ตั้งของภูเขาหิมะ ที่มองเห็นโดดเด่นมาแต่ไกล ซึ่งเห็นเป็นภูเขาที่มีริ้วลายแปลกตา รายล้อมด้วยต้นหญ้าเขียวจนกลายเป็นทุ่งหญ้าขจี บริเวณนี้เป็นพื้นที่กว้างที่ไม่ค่อยมีร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ และค่อนข้างร้อนควรเตรียมร่ม หมวก และน้ำดื่มมาด้วย
ภูเขาหิมะ เกิดจากดินทรายและหินขนาดเหล็กสีขาวเทา คล้ายกับหินที่นำมาใช้ทำถนนยางมะตอย รวมตัวกันจนกลายเป็นเนินดินขนาดใหญ่ มองแล้วลักษณะคล้ายภูเขาขนาดเล็ก เมื่อถูกน้ำฝนกัดเซาะทำให้เกิดร่องรอยและริ้วลายตามธรรมชาติ บวกกับมีสีเทาขาว มองแล้วคล้ายเนินหิมะ จึงเป็นที่มาของชื่อ ภูเขาหิมะ ที่ดูสวยงามแปลกตา มองดูคล้ายเหมือนอยู่ในฉากของวิวในหนัง จึงกลายเป็นที่นิยมมาถ่ายภาพพอร์ตเทรตชิค ๆเท่ๆ
เดินไต่ขึ้นเนินดินไปก็จะรู้สึกร้อนระอุหน่อยๆ แต่เพื่อภาพที่สวยงามก็สู้ตายมาก เดินลัดเลาะไปตามซอกตรงนั้น ตรงนี้ กระหน่ำรัวชัตเตอร์กันอย่างสนุกจนลืมความร้อนไปได้
สะพานชลมารควิถี หรือสะพานเลียบชายทะเลชลบุรี อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดชลบุรี ตั้งอยู่ในตัวเมืองไม่ไกลจากชายหาดบางแสนและเขาสามมุก เป็นสะพานเลียบชายทะเลที่มีระยะทางหลายกิโลเมตร ทอดยาวจากถนนสุขุมวิทจนถึงวัดเขาบางทราย ขณะขับรถจะได้เห็นตัวสะพานที่ทอดยาวโค้งขนานไปกับท้องทะเล สามารถมองวิวของทะเลที่สวยงามขนาบข้าง ในยามที่น้ำทะเลแห้งขอดมองเห็นริ้วทรายสลับกับน้ำทะเล ภาพของกระชังปลากลางทะเล ตั้งเรียงรายกันเหมือนภาพวาด โดยเฉพาะในยามเย็นสามารถชมบรรยากาศของพระอาทิตย์ตกได้อีกด้วย บนสะพานมีจุดจอดรถสำหรับชมวิวทิวทัศน์ มีลมพัดเย็นสบาย รวมทั้งมีร้านขายเครื่องดื่ม อาหาร เป็นลักษณะ truck food สามารถซื้อทาน นั่งชิว ชมวิว เดินเล่นถ่ายภาพบนสะพานไปด้วย
สะพานชลมารควิถี เป็นสะพานเลียบชายฝั่งทะเลชลบุรี ระยะทางรวม 17 กม. แต่ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สผ.) เมื่อปี 2556 ให้ก่อสร้างได้ 7 กม. ถูกออกแบบก่อสร้างมีทั้งงานถนนและสะพาน ขนาด 4 ช่องจราจร แบ่งสร้าง 5 ช่วง ปัจจุบันสร้างเสร็จเปิดใช้แล้ว มีช่วงที่ 1 จากศาลารวมใจชนไปถึงโรงปรับปรุงคุณภาพน้ำ อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี ยาว 1,880 เมตร เปิดใช้วันที่ 14 ก.ย. 2560 ช่วงที่ 3 งานสะพานเลียบชายทะเล จากเทศบาลตำบลบางทราย ถึง ซ.บางทราย 83 ยาว 980 เมตร เปิดใช้วันที่ 16 พ.ย. 2559 ช่วงที่ 4 และ 5 จากศาลารวมใจชนถึง ถ.คลองสังเขป ยาว 2,400 เมตร เหลือช่วงที่ 2 จากโรงปรับปรุงคุณภาพน้ำ อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี ถึงถนนหน้าองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี ยาว 1,600 เมตร ตามแผนกรมโยธาฯ จะเริ่มก่อสร้างในเดือน เม.ย. 2561 แล้วเสร็จ 2563
การเดินทาง
จากกรุงเทพให้ไปตามถนนสุขุมวิทเพื่อจะเข้าตัวเมืองพอถึงวัดเขาบางทราย ขวามือจะมีซอยบางทราย 83
เข้าซอยไปก็จะไปเริ่มต้นหัวสะพานฯ วิ่งไปได้จนสุดแถว ๆ สนามกีฬา ทางจะเชื่อมต่อกับหัวถนนพระยาสัจจา จะตัดขึ้นสุขุมวิท หรือตรงไปจนสุดเพื่อไปอ่างศิลาก็แล้วแต่สะดวก
วัดเขาบางทราย หรือวัดเขาพระบาทบางทราย ตั้งอยู่ที่ตำบลบางทราย อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ห่างจากตัวจังหวัดชลบุรีไปทางทิศเหนือประมาณ 2 กิโลเมตร บริเวณวัดอยู่เชิงเขาพระพุทธบาทบางทราย หรือเขาพระพุทธบาทสามยอด เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ปูชนีย์ให้แก่วัดนี้หลายอย่าง เช่น มณฑปพระพุทธบาท เจดีย์ วิหารชั้นล่าง วิหารปัญ-จวคีย์ ตึกพำนักเจริญธรรมภาวนาที่วิเวกท้ายเขา และบ่อน้ำ เป็นต้น จุดเด่นที่น่าสนใจ คือ มณฑปพระพุทธบาทสีขาวที่ตั้งอยูบนบนเชิงเขา ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทอันศักดิ์สิทธิ์ บริเวณมณฑปพระพุทธบาทมีลานซึ่งมีระเบียงชมวิว ที่สามารถมองเห็นวิวของบ้านเรือน ชุมชน ขนาบไปกับสะพานชลมารควิถีที่ทอดยาวเลียบชายทะเลซึ่งเป็นภาพที่งดงามมาก
การเดินทาง
เมื่อมาถึงวัดเขาพระบาทบางทราย จะพบกับเจดีย์และอุโบสถที่ตั้งอยู่ข้างล่าง ส่วนการเดินทางไปยังมณฑปพระพุทธบาท ซึ่งเป็นจุดชมวิว สามารถขับรถผ่านไปยังบริเวณวัดด้านล่าง เข้าไปทางโรงเรียนกีฬาจะมีถนนเล็กๆขึ้นไปถึงจุดชมวิวประมาณ 500 เมตรเป็นถนนลาดยางตลอดสายระยะทางไม่ชันมาก หรืออาจขึ้นบันไดซึ่งตั้งอยู่บริเวณโรงเรียนเช่นกันแต่อาจจะต้องใช้เวลาซักหน่อยเพราะมีหลายขั้น
ประวัติวัดเขาบางทราย
กล่าวกันว่าพระมหากษัตริย์ผู้ครองกรุงศรีอยุธยาเป็นผู้สร้างขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. 2249-2275 วัดเขาบางทรายเป็นพระอารามหลวงที่ใหญ่ที่สุด วัดนี้เคยเจริญรุ่งเรืองอยู่ช่วงระยะหนึ่ง แล้ว กลายเป็นวัดร้างจนถึงรัฐสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลัง ที่สมุหกลาโหม ยกทัพไปปราบอั้งยี่ ที่วัดคงคาลัย ตำบลบางทราย อำเภอเมืองฯ หลังจากปราบอั้งยี่ลงได้แล้ว เจ้าพระยาพระคลังได้มีบัญชาสั่งให้ปลัดทัพสถาปนาวัดเขาบางทรายขึ้นมาใหม่ ในปี พ.ศ. 2390 ต่อมาวัดนี้ได้รับการบูรณะอีกครั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระยาวิชิตชลเขต ผู้กำกับราชการเมืองชลบุรีกับพระราชาคณะหลายรูป ศาสนสถานที่ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ได้แก่ มณฑปพระพุทธบาท เจดีย์ วิหาร ตึกพำนักเจริญภาวนาและบ่อน้ำ เป็นต้น วัดเขาบางทราย เคยมีพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีกรุงรัตนโกสินทร์เสด็จมาเยี่ยม ดังนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงผนวชเสด็จพระราชดำเนินมานมัสการพระพุทธบาท และเสด็จ เยี่ยมเจ้าอาวาส เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ. ศ. 2447 ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 9 ค่ำ เดือน 12 ปีมะโรง ทางราชการเคยใช้วัดนี้เป็นสถานที่ทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาเรื่อยมาจนตลอดสมัยรัชกาลที่ 5
ตึกแดง และตึกขาว ตึกเก่าโบราณสวยงามที่ตั้งอยู่เคียงคู่กัน ตั้งอยู่ในอำเภออ่างศิลา ชลบุรี เป็นอาคารที่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรม เป็นการผสมผสานระหว่างไทย จีน และตะวันตก ทัศนนียภาพที่สวยงามเพราะตั้งอยู่ริมทะเล ภายใต้ร่มไม้และสวนเขียวขจี ซึ่งมีการจัดทำเป็นทางเดินชมวิวทอดยาว รวมทั้งสวนสาธารณะขนาดย่อม เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวอ่างศิลา และเป็นจุดเช็คอินถ่ายภาพสุดคลาสสิค ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนอ่างศิลา
ตึกทั้งสองตั้งอยู่ติดกับตลาดเก่าอ่างศิลาสามารถจอดรถเลียบถนนในซอยด้านหน้าตึก เพราะภายในตึกไม่มีที่จอดรถ จากนั้นเดินเข้ามาในพิ้นที่จะพบกับ ตึกแดง ก่อน พื้นที่จัดเป็นสวนร่มรื่น ตึกแดง หรือ ตึกราชินี มีลักษณะเด่น คือ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้นสีแดง มีส่วนที่เป็นระเบียงติดกับพื้นดินรองรับส่วนหน้าของอาคาร หลังคาทรงปั้นหยายกจั่ว มีมุขยื่นออกมาทั้งชั้นล่างและชั้นบน บริเวณมุขชั้นล่างเป็นผนังทึบ มีประตูรูปซุ้มโค้ง ลักษณะหน้าต่างเป็นบานคู่ส่วนบนเป็นกระจกช่องแสง ลูกกรงและระเบียงเป็นปูนปั้นลูกมะหวด ส่วนของเฉลียงระเบียงลูกกรงนั้นใช้เป็นทางสัญจรและที่รับลมซึ่งมีลักษณะเหมือนบ้านกงสุลอังกฤษ และโปรตุเกสในสมัยนั้น ภายในจัดแสดงภาพและนิทรรศการต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของอ่างศิลา อาคารนี้เป็นที่พักผ่อนชายทะเลที่ครั้งหนึ่งเจ้าจอมมารดาเจ้าดารารัศมี ธิดาของเจ้านครเชียงใหม่ พระสนมเอกในรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพักรักษาพระองค์ที่นี่
ศาลาพักผ่อนที่ตั้งอยู่ด้านหน้าตึก และทางเดินเลียบเลาะชายฝั่งทะเล ที่สามารถยืนชมวิวสวยๆ ของทะเลอ่างศิลา ในยามเย็น ตรงจุดนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมาก
ถัดจากตึกแดง คือ ลานหินขนาดใหญ่มีลักษณะเป็นพื้นที่ลาดสูงตั้ง เรียกว่า บ่อหินสูง ต้นกำเนิดของคำว่าอ่างศิลา เป็นบ่อน้ำจืดธรรมชาติซึ่งประชาชนช่วอ่างศิลาใช้ในการอุปโภคบริโภคมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่เรียกว่าบ่อหินสูงเพราะว่าเป็นบ่อที่ตั้งอยู่บนโขดหินสูงขึ้นมาจากพื้นดิน เป็นต้นกำเนิดของคำว่าอ่างศิลา โดยใน พ.ศ. 2419 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสจังหวัดชลบุรี มีลายพระราชหัตถเลขาพรรณนาตอนหนึ่งว่า “เรียกชื่ออ่างศิลานั้น เพราะมีแผ่นดินสูงเป็นลูกเนิน มีศิลาก้อนใหญ่ๆเป็นศิลาดาดและเป็นสระยาวรีอยู่ 2 แห่ง” เมื่อเห็นว่าสามารถเป็นที่ขังน้ำฝน น้ำฝนไม่รั่วซึมไปได้จึงก่อเสริมปากบ่อกั้นน้ำ ชาวบ้านก็สามารถน้ำฝนในอ่างศิลามาใช้ บางปีฝนแล้งน้ำในสองบ่อไม่พอใช้ ก็ยังมีบ่อน้ำที่ราษฎรขุดไปขังน้ำฝนไว้ใช้ได้ จึงได้เรียกว่า “บ้านอ่างศิลา” มาจนทุกวันนี้
พระตำหนักมหาราช หรือ ตึกขาว ตั้งอยู่ติดกับตึกแดง เป็นตึกเก่าโบราณอีกตึกหนึ่ง ที่มุมถ่ายภาพสวยๆ ยืนโพสต์ท่าชิคหน้าตึกได้ฟีลดี ตึกมหาราช หรือที่รู้จักกันทั่วไปในสมัยนั้นว่า “พระตำหนัก ร.5 เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้นสีขาว หลังคาทรงปั้นหยา เอียงลาดมาทางด้านหน้าเป็นจั่วมุงกระเบื้อง ไม่มีชายคายื่นจากผนังโดยรอบ ไม่มีกันสาดบังแดดฝนให้แก่หน้าต่าง ใช้ซุ้มโค้งครึ่งวงกลมตรงชั้นล่างส่วนหน้ามุข มีบันไดทางขึ้นแยกเป็น 2 ทางขึ้นสู่มุขตรงกลางอาคาร รูปแบบทางสถาปัตยกรรมของทั้งสองตึกคล้ายกัน เนื่องจากระยะเวลานั้นอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมแบบจีนยังมีอยู่มาก ทั้งเมื่อรับรูปแบบในลักษณะอิทธิพลตะวันตกแบบเมืองขึ้นเข้ามา จึงมีการผสมผสานทางสถาปัตยกรรมระหว่างไทยกับจีน ที่ดูสวยงามและคลาสิคปัจจุบันถูกปรับเปลี่ยนเป็นพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา จัดแสดงวัตถุโบราณ อาทิ ครกหินอ่างศิลา เครื่องทอผ้า และถ้วยชามสังคโลก
ถัดจากตึกขาว คือ ศาลเจ้าแม่หินเขา ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสะพานปูสีแดงโดดเด่นไปยังศาลเจ้า เป็นศาลเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบจีนอันสวยงาม เป็นศาลเจ้าที่สร้างยื่นออกไปในทะเล ชาวบ้านเรียกติดปากว่า เจ้าแม่หินเขา ศาลเจ้าแม่หินเขาตั้งขึ้นด้วยสาเหตุอันใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด มีเพียงคำบอกเล่าต่อๆ กันมาโดยสันนิษฐานว่า เจ้าแม่หินเขานี้น่าจะเป็นดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี พระปิยมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เนื่องจากศาลดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณตึกขาว หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “พระนางเรือล่ม” มีความเชื่อกันว่า เจ้าแม่หินเขาทรงแผ่บารมีแก่ชาวเรือทั้งหลายให้คลาดแคล้วจากภัยทางน้ำให้ปลอดภัย ด้านหน้าศาลมีลานกว้างมองเห็นวิวทัศน์ทะเลอละวิถีชีวิตของชาวประมง ฟาร์มเลี้ยงหอยนางรม อาหารทะเลขึ้นชื่อที่เราจะเห็นตั้งขายตลอดทางเมื่อไปถึงอ่างศิลา
เกาะสีชัง อีกหนึ่งเกาะที่อยู่ใกล้กรุงเทพ ใช้เวลาเดินทางเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น แม้เกาะสีชังจะใกล้กรุงเทพเพียงนิดเดียว แต่ฉันขอสารภาพว่าเที่ยวมาหลายปี แต่ไม่เคยไปเที่ยวเกาะสีชังซักครั้ง เคยแต่เห็นภาพและรับรู้เรื่องราวของเกาะนี้มาบ้าง รู้ว่า เกาะสีชัง ไม่ได้เป็นเพียงเกาะที่มีแต่น้ำทะเลสวย แต่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่มากไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เสน่ห์ของเกาะสีชังจะถูกตาต้องใจฉันมากน้อยแค่ไหน มาเที่ยวรับลมทะเลที่เกาะพร้อมเรียนรู้เรื่องราวอันน่าประทับใจของเกาะนี้ด้วยกันค่ะ
เมื่อมาถึงอ.ศรีราชา เดินทางต่อไปยังท่าเรือเกาะสีชังซึ่งตั้งอยู่บริเวณเกาะลอย หลังจากนั้นนั่งเรือข้ามฝั่งสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่ เรือที่เดินทางเป็นเรือยนต์ลำใหญ่ให้บริการทุกวันรอบแรกเรือออกเวลา 7 โมง และไม่ต้องห่วงว่าเรือจะขาดช่วงเพราะเรือข้ามไปยังเกาะสีชังออกทุกชั่วโมง จนถึงเวลา 2 ทุ่ม ค่าบริการเพียงคนละ 50 บาท สำหรับข้อมูลเกาะสีชังแบบละเอียด คลิ๊ก เกาะสีชัง
นั่งเรือเพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงเกาะสีชัง เกาะใหญ่กลางทะเลซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดชลบุรี ถือว่าเป็นเกาะที่ใหญ่และเจริญมากเลยทีเดียว เห็นบ้านเรือนผู้คนหลากสีสัน วัดวาอารามที่ตั้งอยู่บนเขาสูง เรือประมงจอดอยู่ที่ท่า บางลำก็วิ่งผ่านไปมา รู้สึกคล้ายกับเมืองเวนิส แต่เป็นเวนิสในแบบฉบับไทย ไทย
เมื่อมาถึงท่าเรือฝั่งเกาะสีชังก็ได้เวลาเที่ยวรอบเกาะ พาหนะที่จะพาเราไปทำความรู้จักกับเกาะสีชังมีหลายแบบทั้งมอเตอร์ไซค์ให้เช่าวันละ 250 บาท หรือรถสองแถว แต่ฉันเลือกพาหนะยอดฮิตบนเกาะนี้ คือ รถสกายแลป โดยปกติราคาจะอยู่ที่เที่ยวละ 250 บาท เที่ยวรอบเกาะ โดยแวะตามจุดท่องเที่ยวสำคัญดังนี้ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ รอยพระพุทธบาท ช่องเชาขาด หาดถ้ำพัง และที่สุดท้ายคือ พระจุฑาธุชราชฐาน สถานที่แต่ละแห่งบนเกาะตั้งอยู่ไม่ไกลกัน รถจะพาเราไปตามจุดต่างๆ หากเราพร้อมไปยังจุดต่อไปก็โทรเรียกจะไม่ได้อยู่กับเราตลอด บางครั้งอาจต้องรอซักพักกว่าจะมา เพราะต้องวนรับส่งนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย แต่สำหรับฉันเผื่ออยากไปถ่ายภาพที่ไหนซ้ำอีกก็เช่าแบบเหมาทั้งวันให้อยู่กับเราตลอด ไม่ต้องรอหรือโทรตาม ราคารวมไปส่งที่พักด้วยเหมาวันละ 800 บาท